การทำประกันภัยเป็นอีกหนึ่งวิธีในการสร้างหลักประกันทางการเงินที่มั่นคงให้กับคุณและครอบครัว ด้วยค่าใช้จ่ายเพียงเล็กน้อยต่อปี แต่คุณก็สามารถคงคุณภาพชีวิตที่ดีและสถานะทางการเงินของคุณได้ แม้จะเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดกับบ้านของคุณ เช่น ไฟไหม้ แผ่นดินไหว ถูกโจรกรรม โดยการทำประกันภัยจะให้ความคุ้มครองและจะชดใช้ค่าเสียหายต่างๆ ให้คุณได้สบายใจและไร้กังวลได้ทุกที่ ทุกเวลา ในทุกสถานการณ์

• 1. ประกันภัยที่อยู่อาศัย
• 1.1 ทรัพย์สินที่เอาประกันภัย เช่น
  • - สิ่งปลูกสร้าง (ไม่รวมรากฐาน) เช่น บ้าน ทาวน์เฮาส์ บ้านแฝด ตึกแถว สำหรับอยู่อาศัย โรงรถ และอาคารย่อย เช่น เรือนคนใช้
  เรือนครัว กำแพง รั้ว ประตู รวมถึงส่วนปรับปรุงต่อเติม
  • - ห้องชุดสำหรับอยู่อาศัย เช่น แฟลต อาคารชุด คอนโดมิเนียม
  • - ทรัพย์สินภายในอาคาร เช่น เฟอร์นิเจอร์ เครื่องตกแต่ง สิ่งติดตั้งตรึงตรา เครื่องมือ เครื่องใช้ภายในบ้าน เครื่องใช้ไฟฟ้า และ อุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้าน เครื่องดนตรี เครื่องเสียง เครื่องครัว เครื่องนุ่งห่ม และทรัพย์สินอื่น ๆ เพื่อการอยู่อาศัย
• 1.2 ภัยที่คุ้มครอง หมายถึง หากเกิดความเสียหายกับทรัพย์สินที่เอาประกันภัย กรมธรรม์ประกันภัยจะชดใช้ค่าเสียหายให้คุณเมื่อความเสียหายดังกล่าวเกิดจากสาเหตุที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ เช่น
  • - ไฟไหม้, ฟ้าผ่า , ระเบิด
  • - ภัยจากยวดยานพาหนะ เช่น บ้าน ประตู รั้ว ถูกยานพาหนะเฉี่ยวชน
  • - ภัยจากอากาศยาน หรือวัตถุที่ตกจากอากาศยาน
  • - ภัยเนื่องจากน้ำ (ไม่รวมถึงน้ำท่วม) ที่เกิดขึ้นโดยอุบัติเหตุจากการรั่วไหล หรือล้นออกมาของน้ำ หรือไอน้ำ
• 1.3 ทุนประกันภัย หมายถึง มูลค่าของทรัพย์สินที่จะทำประกันภัย
• 2. ประกันภัยร้านค้า และสถานประกอบการ
• 2.1 ทรัพย์สินที่เอาประกันภัย เช่น
  • - สิ่งปลูกสร้าง (ตัวอาคาร ไม่รวมรากฐาน)
  • - ทรัพย์สินภายใน เช่น สต็อกสินค้า เฟอร์นิเจอร์ อุปกรณ์สำนักงาน
• 2.2 ภัยที่คุ้มครอง หมายถึง หากเกิดความเสียหายกับทรัพย์สินที่เอาประกันภัย กรมธรรม์ประกันภัยจะชดใช้ค่าเสียหายให้คุณเมื่อความเสียหายดังกล่าวเกิดจากสาเหตุที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ เช่น
  • - ไฟไหม้ ฟ้าผ่า , การระเบิด
  • - ลมพายุ
  • - ภัยจากยวดยานพาหนะ ถูกยานพาหนะเฉี่ยวชน, ภัยจากอากาศยาน
  • - การนัดหยุดงาน
  • - การไหลล้น หรือแตกของแท็งก์น้ำ
• 2.3 ภัยที่คุ้มครองเพิ่มเติมพิเศษ เช่น ประกันภัยโจรกรรม ประกันภัยกระจก ประกันภัยสำหรับเงิน ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล ประกันภัยความรับผิดต่อบุคคลภายนอก

• 1 เจ้าบ้านหรือผู้อยู่อาศัยทั่วไป บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ ห้องแถว
  • เหมาะกับการประกันภัยที่อยู่อาศัย โดยให้ความคุ้มครองหลัก คือ สิ่งปลูกสร้าง เฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ภายในบ้านและอาจซื้อความคุ้มครองเพิ่มเติมตามความเหมาะสม เช่น แผ่นดินไหว น้ำท่วม การถูกโจรกรรม ส่วนทุนประกันภัยนั้น ควรครอบคลุมอย่างน้อยถึง 80% ของมูลค่าบ้านและสินทรัพย์ภายในรวมทั้งหมดเพื่อป้องกันการทำประกันภัยต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง
• 2 ผู้กู้สินเชื่อที่อยู่อาศัยกับธนาคารต่างๆ แบ่งเป็น
  • 2.1 ผู้ที่ยังอยู่ในช่วงมีภาระผูกพันกับธนาคารในการผ่อนชำระสินเชื่อที่อยู่อาศัย การกู้สินเชื่อที่อยู่อาศัยนั้น
    • ธนาคารจะให้ผู้กู้ทำประกันภัยบ้านไว้ด้วย เพื่อให้ความมั่นใจกับทางธนาคารว่าหากเกิดเหตุร้ายแรง เช่น ไฟไหม้ ทำให้บ้านซึ่งเป็นหลักประกันเงินกู้เสียหายหมด ธนาคารก็ยังสามารถเรียกร้องภาระหนี้สินคืนจากบริษัทประกันภัยได้ แต่เนื่องจากภาระค่าเบี้ยประกันภัยเป็นของผู้กู้ ดังนั้นผู้กู้ส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะทำประกันภัยในทุนประกันภัยที่ต่ำที่สุดเท่าที่เจ้าหนี้จะยินยอม เช่น ทำประกันภัยเท่ากับวงเงินที่มีภาระผูกพันกับธนาคารเท่านั้น ซึ่งต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของตัวอาคารเพื่อช่วยให้เสียค่าเบี้ยประกันภัยน้อยลง เช่น บ้านมูลค่า 1 ล้านบาท กู้สินเชื่อได้เพียง 7 แสนบาท ผู้กู้ก็มักจะทำทุนประกันภัยที่ 7 แสนบาท และไม่ได้รวมเอามูลค่าของทรัพย์สินต่างๆ ที่เราซื้อภายในบ้านเข้าไปด้วย เช่น เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้าราคาแพงๆ เมื่อเกิดความเสียหายขึ้นก็จะได้รับชดใช้ไม่เกินทุนประกันภัยที่ทำไว้ หรืออาจจะน้อยกว่านั้น หากปรากฏว่าทุนประกันภัยที่ทำไว้ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของทรัพย์สินมาก คำแนะนำคือ ควรทำประกันภัยในทุนประกันภัยที่เหมาะสม คือ ไม่ต่ำกว่า 80% ของมูลค่าที่แท้จริงของบ้าน บวกมูลค่าทรัพย์สินภายในบ้านที่ได้ตกแต่งเพิ่มเติม ทั้งที่ติดอยู่กับตัวบ้านและที่สามารถเคลื่อนย้ายได้
  • 2.2 ผู้ที่ใกล้หมดภาระผ่อนชำระหรือผ่อนชำระหมดแล้ว
    • ควรทบทวนวงเงินประกันภัยว่าถูกต้องเหมาะสมตามความเป็นจริงหรือไม่ เนื่องจากเมื่อเวลาผ่านไป อาจมีการเปลี่ยนแปลงทรัพย์สินภายในบ้าน ซึ่งส่วนใหญ่จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้น จึงเป็นโอกาสที่จะหาแพกเกจประกันภัยใหม่ที่เหมาะสมกับบ้านของคุณมากที่สุด
  • 2.3 ผู้อยู่อาศัยในอาคารชุด, หอพัก โดยปกติทางโครงการของอาคารชุด หรือหอพัก ได้จัดทำประกันภัยไว้อยู่แล้ว เพียงแต่อยู่ในรูปของตัวอาคารเท่านั้น เราจึงควรตรวจสอบกับทางโครงการหรือบริษัทประกันภัยถึงการทำประกันภัยเพิ่มเติมสำหรับทรัพย์สินที่เราซื้อไว้ในห้องของเรา เพื่อให้ความคุ้มครองครอบคลุมมากที่สุด

• ตารางเปรียบเทียบความคุ้มครองประกันภัยที่อยู่อาศัยแบบต่างๆ
  ความคุ้มครอง	รักษ์บ้าน (ที่อยู่อาศัย)	อัคคีภัยที่อยู่อาศัย (มาตรฐาน)
  ไฟไหม้ ฟ้าผ่า ระเบิด	✓	✓
  ภัยจากยวดยานพาหนะ	✓	✓
  ภัยจากอากาศยาน หรือวัตถุที่ตกจากอากาศยาน	✓	✓
  ภัยเนื่องจากน้ำ (ไม่รวมน้ำท่วม)	✓	✓
  ค่าที่พักชั่วคราว ระหว่างซ่อม	✓	✓
  แผ่นดินไหว	✓
  ลมพายุ	✓
  ลูกเห็บ	✓
  น้ำท่วม
  ความเสียหายต่อเครื่องใช้ไฟฟ้า	✓
  โจรกรรม	*
  เงินสด (ส่วนที่ไม่ได้ทำประกันภัยสำหรับเงินไว้)	✓
  การสูญเสียค่าเช่า
  ความรับผิดชอบต่อบุคคลภายนอก
  * คุ้มครองเฉพาะเความเสียหายของตัวอาคาร (ไม่รวมรั้ว) จากการโจรกรรม

• ค่าเบี้ยประกันภัยจะขึ้นอยู่กับทุนประกันภัยและความเสี่ยงที่มีเป็นหลัก
• 1 ด้านทุนประกันภัย จะกำหนดจากมูลค่าทรัพย์สินซึ่งประเมินจากขนาดของอาคาร จำนวนชั้น และลักษณะสิ่งปลูกสร้าง เช่น ตึก ไม้ หรือครึ่งตึกครึ่งไม้ โดยคุณสามารถให้บริษัทประกันภัยช่วยประเมินมูลค่าทุนประกันภัย โดยแจ้งข้อมูลด้านวัสดุก่อสร้าง ขนาดพื้นที่ใช้สอย ส่วนทรัพย์สินภายในนั้นมักใช้วิธีประเมินแบบเหมา เช่น คิดเป็น 50% ของมูลค่าอาคาร ในกรณีที่คุณมีทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูงเป็นพิเศษ อาทิ ชุดโฮมเธียเตอร์ โคมไฟระย้า (Chandelier) ควรระบุเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มทุนประกันภัยให้สูงขึ้นเพียงพอกับทรัพย์สิน หรือ สอบถามกรณีไม่แน่ใจว่าทรัพย์สินนั้นจะได้รับความคุ้มครองหรือไม่
• 2 ด้านความเสี่ยง บริษัทประกันภัยจะประเมินความเสี่ยงจาก
  • • วัสดุที่ใช้ก่อสร้าง (ก่ออิฐถือปูน, ไม้) ว่าทนต่อการเผาไหม้ได้มากน้อยเพียงใด
  • • การดูแลอาคาร เช่น มีระบบป้องกันไฟหรือไม่ สิ่งของที่ติดไฟง่ายหรือไม่
  • • เขตที่ตั้งของอาคาร สิ่งรายล้อมบริเวณใกล้เคียง เช่น อยู่ติดปั๊มน้ำมัน ปั๊มแก๊ส หรือไม่
  • ทั้งหมดจะเป็นปัจจัยในการประเมินความเสี่ยง เพื่อนำมาคำนวณเบี้ยประกันภัย การทำประกันอัคคีภัยระยะยาวจะให้สิทธิประโยชน์ในการได้รับส่วนลดพิเศษ ดังนั้น นอกจากจะได้รับความอุ่นใจจากความคุ้มครองต่อเนื่อง โดยไม่ต้องกังวลใจว่าจะถึงวันหมดอายุประกันภัยเมื่อไร และยังทำให้เราประหยัดในเรื่องค่าใช้จ่ายลงได้อีกด้วย

• เมื่อเกิดเหตุขึ้นแก่บ้านที่ทำประกันภัยไว้ และเกิดจากสาเหตุที่กรมธรรม์ให้ความคุ้มครอง บริษัทประกันภัยจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้คุณตามมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง แต่ไม่เกินจำนวนทุนประกันภัยที่ระบุไว้ในหน้าตารางกรมธรรม์ประกันภัย อย่างไรก็ตาม มีบางกรณีที่มีการทำประกันภัยด้วยจำนวนทุนประกันภัยที่สูง หรือต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของทรัพย์สิน ซึ่งจะส่งผลให้การชดใช้ค่าสินไหมแตกต่างกันไป ดังนั้น เพื่อให้คุณเกิดความเข้าใจมากยิ่งขึ้น จึงขอยกตัวอย่างดังนี้
• กรณีทำประกันภัยสูงกว่ามูลค่าที่แท้จริงของทรัพย์สินที่เอาประกันภัย (Over-Sum Insured) เช่น บ้าน(ไม่รวมที่ดิน) และทรัพย์สินภายใน รวมมูลค่า 1 ล้านบาท แต่ทำทุนประกันภัยไว้ที่ 2 ล้านบาท เมื่อเกิดเหตุขึ้นบริษัทประกันภัยจะพิจารณาชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ดังนี้

• การประกันภัยสูงกว่ามูลค่าที่แท้จริง
  มูลค่าที่แท้จริงของตัวบ้านและทรัพย์สินภายในบ้าน	1,000,000 บาท
  ทำประกันภัยในวงเงิน (ทุนประกันภัย)	2,000,000 บาท
  กรณีที่ 1 เกิดความเสียหายบางส่วน
  บ้านมูลค่า 1 ล้านบาท เสียหายครึ่งหลัง ดังนั้น มูลค่าความเสียหาย	500,000 บาท
  บริษัทฯ จะชดใช้ค่าสินไหมทดแทน	500,000 บาท
  กรณีที่ 2 เกิดความเสียหายทั้งหมดโดยสิ้นเชิง
  บ้านมูลค่า 1 ล้านบาท เสียหายครึ่งหลัง ดังนั้น มูลค่าความเสียหาย	1,000,000 บาท
  บริษัทฯ จะชดใช้ค่าสินไหมทดแทน	1,000,000 บาท

• * จะเห็นได้ว่าการทำประกันด้วยทุนประกันภัยที่สูงกว่ามูลค่าที่แท้จริงของทรัพย์สิน (Over Sum Insured) นอกจากจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆ แล้ว ยังทำให้คุณต้องเสียค่าเบี้ยประกันภัยเพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็นอีกด้วย
• • กรณีทำประกันภัยต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของทรัพย์สินที่เอาประกันภัย (Under-Sum Insured) เช่น ทรัพย์สินมูลค่า 1 ล้านบาท แต่คุณทำทุนประกันภัยไว้เพียง 6 แสนบาท (หรือคิดเป็น 60% ของมูลค่าที่แท้จริง) หมายถึง ณ วันที่เกิดความสูญเสียหรือเสียหายจากภัยที่ได้รับความคุ้มครอง บริษัทประกันภัยจะรับผิดชอบค่าเสียหาย 60% และคุณจะต้องรับภาระอีก 40% ที่เหลือไว้เอง เช่น

• การประกันภัยต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง
  สิ่งปลูกสร้าง ตัวอาคารหลังหนึ่งมีมูลค่าที่แท้จริง	1,000,000 บาท
  ทำประกันภัยในวงเงิน (ทุนประกันภัย)	600,000 บาท (60% ของมูลค่าที่แท้จริง)
  กรณีที่ 1 เกิดความเสียหายบางส่วน
  บ้านมูลค่า 1 ล้านบาท เสียหายครึ่งหลัง ดังนั้น มูลค่าความเสียหาย	500,000 บาท
  บริษัทฯ จะชดใช้ค่าสินไหมทดแทน	300,000 บาท (60% ของความเสียหายจริง)
  กรณีที่ 2 เกิดความเสียหายทั้งหมดโดยสิ้นเชิง
  บ้านมูลค่า 1 ล้านบาท เสียหายครึ่งหลัง ดังนั้น มูลค่าความเสียหาย	1,000,000 บาท
  บริษัทฯ จะชดใช้ค่าสินไหมทดแทน	600,000 บาท (60% ของความเสียหายจริง)

• 4.1 ข้อควรปฏิบัติในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนประกันอัคคีภัย
  • กรณีทรัพย์สินที่เอาประกันภัยได้รับความสูญเสียหรือเสียหาย เพื่อความรวดเร็วในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนควรปฏิบัติตามขั้นตอน ดังนี้
  • 1. แจ้งการเกิดเหตุให้บริษัทประกันภัยทราบทันที
  • 2. ถ่ายภาพความเสียหายเก็บไว้เป็นหลักฐาน
  • 3. สำรวจตรวจสอบความเสียหายเบื้องต้น ว่ามีทรัพย์สินใดที่ได้รับความเสียหายหรือสูญหาย โดยบันทึกไว้เป็นรายการ
  • 4. ให้แจ้งความต่อสถานีตำรวจประจำท้องที่ พร้อมทั้งถ่ายสำเนาบันทึกประจำวันเก็บไว้ (เฉพาะเหตุโจรกรรม)
  • 5. คงสภาพความเสียหายของทรัพย์สินไว้ รวมทั้งหลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้บริษัทฯเข้าตรวจสอบเอกสารการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน